เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ พ.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้วันแรงงาน เรามาทำบุญกุศล วันแรงงาน เขาว่าแรงงานยิ่งใหญ่นะ สองมือนี้สร้างโลก โลกมันมาจากสองมือของเรา ถ้าสองมือถ้าไม่มีมนุษย์สร้าง มนุษย์เป็นผู้พัฒนา เป็นผู้เปลี่ยนแปลงขึ้นมา โลกนี้มันจะเจริญมาได้อย่างไร โลกนี้เจริญขึ้นมาเพราะว่ามนุษย์ เพราะแรงงานของเรา สองมือสร้างโลก ถ้าสร้างโลกขึ้นมาแล้วสร้างขึ้นมาเพื่อดำรงชีวิต ถ้าดำรงชีวิต ชีวิตของเราเกิดมาแล้วพ่อแม่เลี้ยงดูมา โตขึ้นมาเราต้องมีอาชีพหน้าที่การงานของเรา ถ้ามีหน้าที่การงานของเรา ถ้าเรามีคุณธรรมในหัวใจ คำว่า “คุณธรรมในหัวใจ” เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขในใจไง

แรงงานสร้างโลกๆ แต่หัวใจที่เป็นธรรมๆ มันสร้างมาด้วยคุณธรรม สร้างมาด้วยคุณงามความดี มันเป็นประวัติศาสตร์ที่ระลึกถึงแล้วมีแต่คนชื่นชม แต่แรงงานที่ขูดรีด แรงงานที่ทำลายเขาเพราะอะไร เพราะมันไม่มีคุณธรรมในใจไง ถ้ามีคุณธรรมในใจ ผู้นำที่ดี ผู้นำที่มีคุณธรรมนะ ประชาชนมีความร่มเย็นเป็นสุขนะ

ความร่มเย็นเป็นสุขของเรามันเกิดมาจากไหนล่ะ ความร่มเย็นเป็นสุขของเราเกิดมาจากที่เราแสวงหาเรื่องสัจธรรมในหัวใจเรา หนึ่ง เรื่องสังคม สังคมร่มเย็นเป็นสุข หนึ่ง เรื่องผู้นำที่ดี หนึ่ง ถ้าผู้นำที่ดี สิ่งนี้วันแรงงาน แล้วเวลาแรงงาน เราทำงานทางโลกอาบเหงื่อต่างน้ำ ถ้าประสบความสำเร็จก็มีความสุขของเรา ถ้ามีปัญหาก็มีความทุกข์ของเรา พระเรา พระเราก็เกิดมากับโลก พระเราเกิดมาก็ต้องมีปากมีท้อง พระเราเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ต้องมีหน้าที่การงานเหมือนกัน อยู่ทางโลกเขาเห็นความสุขความทุกข์ความยากขึ้นมาแล้วพยายามจะค้นหาสัจธรรม สละทางโลกมาบวช มาบวชแล้วพระต้องมีแรงงานไหม แรงงานมีแต่โลกใช่ไหม พระมันต้องมีแรงงานหรือ

เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนานี้มาจากไหน เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนามีความตั้งใจทั้งนั้นแหละ กำหนดลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเป็นแรงงานหรือไม่ ถ้าเป็นแรงงาน แรงงานความตั้งใจขึ้นมา แรงงานของพระล่ะ เขาบอกว่า “แรงงานอริยะ” พวกอริยเจ้ามีแรงงานของอริยะ เราจะทำงานแรงงานอริยะมันจะได้บุญกุศลมาก บุญกุศลมากนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด” เวลาเราปฏิบัติบูชา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา

ทางโลกเขา เห็นไหม เราเคยมาอยู่ที่โพธาราม เขาบอกเลย “พระอะไร วันๆ ไม่ทำอะไรเลย เห็นเดินไปก็เดินมา เดินไปเดินมา เดินไปเดินมาไม่ทำอะไรเลย” นี่เพราะเขาไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้คือคุณธรรม สิ่งนี้พระเราถ้าแสวงหา เวลาเจ้าชายสิทธัตถะสละราชบัลลังก์มา ออกบวชมา บำเพ็ญเพียรมา ข่าวมันร่ำลือมาไง พอข่าวมันร่ำลือ พระเจ้าพิมพิสาร ราชคฤห์มันเป็นนครรัฐที่ใหญ่ บอกเลยนะ เข้าใจว่าโดนเขาขับไสออกมา ให้กองทัพครึ่งหนึ่ง แบ่งให้ครึ่งหนึ่งนะ ให้กลับไปเอาราชบัลลังก์คืน

เจ้าชายสิทธัตถะบอกไม่ใช่ มาด้วยหัวใจ ออกมาด้วยปรารถนาโพธิญาณ ออกมาเพื่อความพ้นทุกข์

ถ้าเป็นอย่างนั้นพระเจ้าพิมพิสารขอสัญญาไว้ ถ้าปฏิบัติแล้ว ถ้าออกไปค้นคว้าแล้วได้คุณธรรมแล้วขอให้มาสั่งสอนด้วย ขอสัญญาไว้ ขอสัญญาไว้เลยนะ ขอสัญญากับเจ้าชายสิทธัตถะไว้เลย ถ้าได้คุณธรรมขอให้กลับมาบอกด้วย

นี่ไง พระเรา แรงงานของพระๆ ถ้าพระเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นั่นแหละเขาแสวงหาของเขา นั่นแหละงานของพระ งานโดยตรง งานโดยตรงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทฤษฎีวางไว้เลย ภิกษุบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพแล้ว ทำภัตกิจแล้วเข้าสู่โคนไม้ ผู้ใดเข้าถึงฌานสมาบัติให้เข้าฌานสมาบัติ ผู้ใดใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ผู้ใดใช้ปัญญาวิปัสสนา ผู้ใดๆ ให้ทำหน้าที่การงานของตน ทำหน้าที่การงานของตน

นี่ไง พระเจ้าพิมพิสารขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ ถ้าบรรลุธรรมแล้วให้กลับมาสอนด้วย ถ้าบรรลุธรรมแล้วให้กลับมาสอนด้วย

นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุธรรมขึ้นมา ไปเอาชฎิล ๓ พี่น้องก่อน เพราะว่าเป็นอาจารย์ของพระเจ้าพิมพิสาร พอได้ชฎิล ๓ พี่น้องแล้วนั่งอยู่ด้วยกัน พระเจ้าพิมพิสารไปถึงนะ ก็สัญญาไว้กับเจ้าชายสิทธัตถะ แต่เขาเป็นกษัตริย์ใช่ไหม เขาต้องมีการปกครอง ก็มีชฎิล ๓ พี่น้องเป็นที่พึ่งอาศัยของเขา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเอาชฎิล ๓ พี่น้องเป็นพระอรหันต์หมดเลย ๑,๐๐๓ องค์ ได้มาเลย พอได้มาแล้ว เวลานั่งอยู่ด้วยกัน พระเจ้าพิมพิสารไปงงเลยนะ เพราะอะไร เพราะชฎิลองค์พี่อายุมากแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะเพิ่งอายุ ๓๐ กว่า พระเด็กๆ โอ๋ย! ยังวัยรุ่นอยู่ แล้วใครเป็นอาจารย์ของใครล่ะ เขาเกิดความวิตกขึ้นมาในใจ นี่พระเจ้าพิมพิสาร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกชฎิล ๓ พี่น้องบอกว่าเป็นหน้าที่ของเธอ

ชฎิล ๓ พี่น้องเหาะขึ้นไปบนอากาศ ลงมาถึงกราบ “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา” เหาะขึ้นไปบนอากาศ ลงมาถึงมากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา” ถึง ๓ หน พระเจ้าพิมพิสารรู้เลย เข้าไปฟังธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาแสดงธรรมแล้วได้เป็นพระโสดาบัน

นี่ไง แรงงานของพระๆ พระต้องมีแรงงานไหม พระก็ต้องมีแรงงาน แรงงานชีวิต แรงงานในการภาวนา แรงงานของจิต แล้วเวลาภาวนาไปแล้วมันต้องมีสติมีปัญญามหาศาล เพราะอะไร เพราะโลกเราทุกคนอยากเป็นคนฉลาด เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก มีสติ มหาสติ มีปัญญา มหาปัญญา สติปัญญาของเรา เราก็อยากจะไบรต์ อยากจะมีปัญญามาก เราอยากจะพิจารณาสิ่งใดทะลุปรุโปร่งหมดเลย ปัญญาต้องเต็มที่เลย แต่เวลามาภาวนาแล้วยังมีมหาปัญญาขึ้นไปอีก

ปัญญาที่ว่าไบรต์ๆ นั่นล่ะ สิ่งนั้นมันเป็นโลกียปัญญาทั้งนั้นแหละ ปัญญาของโลกเขา ปัญญาอย่างนั้น ดูสิ เวลากิเลสมันครอบงำขึ้นมา คนที่มีปัญญามาก แต่เขาทุจริต ดูสิ เขาทำลาย เขาทำความเสียหายมหาศาลเลย เพราะอะไร เพราะเขาไม่มีคุณธรรมในหัวใจของเขา ถ้าเขามีคุณธรรมในหัวใจของเขา ถ้าปัญญาของเขามากขึ้นมา เขามีคุณธรรมในหัวใจของเขา เขาจะสร้างประโยชน์มหาศาลเลย

รัฐบุรุษ รัฐบุรุษเขาคิดเพื่อใคร? คิดเพื่อประชาชน เขาไม่ได้คิดเห็นแก่ตัว คิดเพื่อตนเอง รัฐบุรุษใช่ไหม ไอ้คนมีปัญญามากๆ มันจะกว้านมาเป็นของมันหมด แล้วกว้านมาเป็นของมันจริงหรือเปล่าล่ะ พอกว้านมาแล้วก็ไม่เป็นของมันจริงด้วย เพราะอะไร เพราะมันต้องตายจากสิ่งนั้นไป ไม่มีอะไรเป็นของมันเลย

แต่ถ้าเขาเป็นรัฐบุรุษ เขาสละออกไปมากเท่าไรก็เป็นของเขาทั้งนั้นเลย เพราะว่าเขาเจือจานประชาชน เขาเจือจานคนทั่วไป คนทั่วไปจะระลึกถึงเขาตลอดไป คนทั่วไปจะคิดถึงน้ำใจของเขาตลอดไป เขาเสียสละไปเท่าไร คนคิดถึงเขาตลอดไปๆ สิ่งนี้มันเกิดขึ้น ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ เห็นไหม

วันแรงงานๆ นะ แรงงาน ความแรงงานมันเป็นเรื่องของหน้าที่การงานของเรา แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “แรงงานชีวิต” คนเฒ่าคนแก่นะ เวลาหายใจแล้วมันลำบาก หายใจแทบไม่ทั่วท้อง หายใจนี้เหนื่อยมาก แรงงานชีวิตถ้าเราหายใจไม่ได้ เราเคลื่อนไหวไม่ได้ ชีวิตเราอยู่ที่ไหน แรงงานมันมีของมันอยู่โดยสัจจะโดยความจริงของมันอยู่แล้ว เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านสอนให้ทำความสงบของใจ พอใจสงบแล้วมันมีกำลัง คำว่า “กำลัง” พอมีกำลังขึ้นมามันออกใช้ปัญญา เพราะปัญญาที่มีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน พอปัญญาที่มีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน เวลามันภาวนา มันวิปัสสนา มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เป็นความจริงขึ้นมาอันนั้น สิ่งนั้นเวลามันเคลื่อนออกไป นี่สัจจะ เวลาสัจจะ อริยสัจที่มันเคลื่อนไป ธรรมจักรมันเคลื่อน เวลามันเคลื่อน ครูบาอาจารย์เวลาท่านพิจารณาขึ้นไปแล้ว มันเคลื่อนของมันไป นี่แรงงานอะไรล่ะ แล้วถึงที่สุดแล้วเวลาสิ้นสุดแห่งทุกข์ ท่านเห็นหมดนะ ท่านเข้าใจถึงชีวิตไง ท่านเข้าใจถึงความเป็นไปของมันไง ถ้าเข้าใจถึงความเป็นไป

สิ่งที่ว่าเราพูด เราจะพูดว่าแรงงานของโลก หนึ่ง แรงงานโดยสัจจะ แรงงานโดยหน้าที่การงานของเรา แรงงานของโลกมันเป็นหน้าที่การงาน จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนเราก็ต้องเคี้ยวกินอาหารทุกคนแหละ ถึงเขาจะปั่นมาเป็นอาหารละเอียดขนาดไหน เราก็ต้องกลืนของเราเข้าไปนั่นล่ะ มันต้องทำทุกคน ทำมากทำน้อยเท่านั้นแหละ นี่มันเป็นสัจจะเป็นความจริง

แล้วถ้าใครมีอำนาจวาสนา ดูสิ ดูพระเราสละทางโลกมาค้นคว้าสัจจะความจริง ความจริงที่มันเป็นอากาศธาตุ คำว่า “อากาศธาตุ” เหมือนกับมันไม่มี มันเป็นอากาศธาตุ ของเราทำ เราจะเป็นงานหน้าที่สิ่งใดก็แล้วแต่ เขามีองค์ความรู้ องค์ความรู้มันเป็นสัจจะเป็นความจริง คำว่า “อากาศธาตุ” เพราะเราทำไม่เป็น เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นสุตมยปัญญา แต่ถ้าเอาความจริงขึ้นมาๆ ความจริงขึ้นมา เวลาจิตสงบเข้าไปแล้วมันเป็นนามธรรมแล้ว มันเป็นนามธรรม ถ้าจะบอกว่ามันเป็นอารมณ์ ทางโลกเขาบอกว่าอารมณ์เชื่อไม่ได้ เราต้องใช้วิชาการ อารมณ์ห้ามเชื่อ เราจะคุยกันด้วยอารมณ์ไม่ได้ เราจะคุยกันด้วยอารมณ์ความรู้สึกไม่ได้ เราต้องมีวิชาการ ต้องมีความรู้ความจริง เวลาประพฤติปฏิบัติก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ มันก็มีองค์ความรู้จริงๆ นั่นแหละ มันมีศีล สมาธิ ปัญญา แล้วศีล สมาธิ ปัญญามันเป็นศีล สมาธิ ปัญญาของใคร

เวลาปัญญาเราอ่อนๆ ขึ้นมา ปัญญาเราไม่มีปัญญาขึ้นมา เราก็ว่าสิ่งนี้ สิ่งที่ปัญญาขึ้นมา เราก็ตรึกเอาทั้งนั้นแหละ มันไม่มีความจริงขึ้นมาหรอก แต่ถ้าคนเป็นจริงแล้วมันก็เป็นจริงของมันขึ้นมา ถ้าเวลาจิตเราสงบ จิตสงบถ้าสงบความจริงนะ คนเวลาจิตสงบส่วนใหญ่แล้วไม่สงบ ส่วนใหญ่แล้วมันลงภวังค์ ส่วนใหญ่แล้วมันเผลอ ส่วนใหญ่แล้วมันไม่มีเจ้าของ มันไม่มีสติ มันเป็นอย่างนั้นไปหมดแหละ ถ้ามันมีสติปั๊บ มันจะไม่พูดอย่างนั้นหรอก

ถ้ามันมีสติขึ้นมา มีสติเป็นสัมมาสมาธิ มันลึกลับมหัศจรรย์ คำว่า “ลึกลับมหัศจรรย์” คนทุกข์ยากมากน้อยขนาดไหนมันจะวาง เพราะอะไร เพราะไม่วางในสมาธิไม่ได้ พอมันวางแล้วมันทึ่ง พอมันทึ่งแล้ว สิ่งใดที่เรากระทบกระเทือนในหัวใจ เราทำงานกันมา มีการบาดหมาง มีอะไร พอเป็นสมาธินะ มันวางอยู่ไกลนู่นแน่ะ มันพอใจมัน มันมีความสุขของมัน แต่ถ้ามันไม่เป็นสมาธินะ แบบว่ามันว่างๆ ว่างๆ แต่มันยังคิดถึงสิ่งที่เสียดสีมา มันทิ้งไม่ได้ มันทิ้งไม่ได้เพราะมันไม่ลงสมาธิ มันยังทิ้งไม่ได้

บอกว่า “ปฏิบัติแล้วมันว่างๆ ว่างๆ”

แต่ถ้าเป็นสมาธินะ มันจะมีความสดชื่น มันจะมีความสุข มันจะมีกำลังของมัน แล้วมันวางหมด เพราะมันวางมันถึงเป็นสมาธิ เพราะมันเป็นสมาธิมันถึงมีธรรมโอสถ เพราะมันเป็นธรรมรส รสของธรรมชนะรสทั้งปวง รสของความเป็นสมาธิมันวางหมดเลย แต่ที่มันไม่เป็นสมาธิจริงมันก็ไม่มีกำลัง ถ้าเป็นสมาธิจริงมันมีกำลัง คนที่เป็นสมาธิจะบอกว่ามันเวิ้งมันว้าง มันมีความอบอุ่น มันมีความสุข มันอยู่ได้ มันอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง ไม่อิง ไม่อาศัยสิ่งใด

แต่ที่มันว่างๆ ว่างๆ แล้วเหมือนคนกล้ามเนื้ออ่อนแรงไง ว่างๆ ยังทรงตัวไม่ได้ ว่างๆ อันนั้นมันเป็นเรื่องโลก เป็นการคาดหมาย มันไม่จริง ถ้ามันเกิดสัมมาสมาธิ เราทำของเราขึ้นมา ถ้าขึ้นมา เวลามันยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันไปแล้ว ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ความชอบธรรม

แต่ของเราเห็นจิต เห็นกายโดยการคาดหมาย โดยการคาดหมาย โดยการจินตนาการ เห็นได้ทั้งนั้นแหละ ของมันอยู่กับเรา ทำไมเราจะจินตนาการไม่ได้ แต่ความจินตนาการ คุณภาพ คุณธรรมมาตรฐานมันแตกต่างกัน แต่ด้วยวุฒิภาวะที่มันอ่อนแอ วุฒิภาวะที่มันด้อย สิ่งนั้นมันก็เหมือนกัน เหมือนกันเพราะอะไร เหมือนกันเพราะชื่อ ก็กาย ก็เวทนา ก็จิต ก็ธรรมเหมือนกัน ก็ชื่อมันว่ากาย แล้วมันจะไม่เหมือนกันตรงไหนล่ะ

มันจะไม่เหมือนกันที่คุณภาพของจิตนี่ไง มันไม่เหมือนกันที่คุณภาพของหัวใจ คุณภาพของหัวใจมันไม่มีคุณภาพ มันก็เป็นจริงไม่ได้

ที่ว่าแรงงานสัจจะ ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริง แรงงานของพระเขาทำกันอย่างนี้ เวลาเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิ แล้วเอาอะไรมาวัดกันล่ะ เอาอะไรวัดกันว่าทำถูกทำผิดล่ะ

ทำถูกทำผิดมันก็มีครูบาอาจารย์นี่ไง ครูบาอาจารย์นะ ถ้าจะเป็นครูบาอาจารย์มันต้องผิดมาก่อน คนเราทำถูกเลยมันจะมีที่ไหน มันไม่มีหรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้ง ๖ ปี การทำผิด แล้วเวลาเราปฏิบัติมันก็มีการผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเรามีความขยันหมั่นเพียร เพราะอะไร เพราะมันเป็นธรรมเหนือโลก คำว่า “เหนือโลก” เหนือสัจจะ เหนือเหตุเหนือผล

เวลาเราคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ดูสิ เวลามงคลชีวิต ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง นี่ด้วยเหตุด้วยผล เราสนทนาธรรมด้วยเหตุด้วยผล ด้วยเหตุด้วยผลเป็นมงคลชีวิต แต่เราปฏิบัติไป ด้วยเหตุด้วยผลอันนั้นแหละมันจะทำให้หัวใจนี้หลุดพ้นไป ถ้ามันหลุดพ้นไป

นี่แรงงานของชีวิต เราเกิดมามีสัจจะนะ เราเกิดมาโดยโลก เราอยู่กับโลก ฉะนั้น เรื่องของโลก ไม่ใช่ลบล้างหรอก สิ่งที่เป็นโลกนะ ดูสิ สองมือที่ยิ่งใหญ่สร้างโลก โลกมันมาจากไหน? มาจากสองมือพวกเรา สองมือของกรรมกรเรา นั่นมันก็หน้าที่การงานไง

แต่ถ้าหัวใจที่มันมีความสุข หัวใจที่มันคุณธรรมขึ้นมา ชีวิตเราไม่ทุกข์ หนึ่ง ถ้าเรามีสติมีปัญญาเราพยายามฝึกหัด เราพยายามภาวนาของเรา สัจจะความจริงของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายแล้ว ถ้าสัจจะความจริงของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การมีชีวิตขึ้นมาเป็นอริยทรัพย์ มีอริยทรัพย์จริงๆ คำว่า “มีอริยทรัพย์” เพราะอะไร เพาะเราเกิดมาเรามีโอกาสใช่ไหม คนเกิดมา คนคนหนึ่งเลือกทำได้ ดีก็ได้ ชั่วก็ได้ เลือกทำ แต่คนถ้าไม่ได้เกิด คนไม่ได้เกิด ดูสิ เกิดเป็นสัตว์ เขาเลี้ยงไว้ในกรง ไว้เชือด มีโอกาสเท่านั้น พอเกิดเป็นอะไร นี่สถานะของเขา

เราเกิดเป็นคน ทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ เราเกิดเป็นเทวดา เทวดาเขามีความสุขของเขา เราเกิดเป็นพรหม รอหมดอายุขัยนะ พอหมดอายุขัยนะ เศร้า เทวดาเวลาจะตายขึ้นมา แสงเขาจะไม่มี อาหารไม่มีไง คนขาดอาหารก็ตาย เทวดาธรรมดาเขากินวิญญาณาหารคือความสุขของเขา ความสุขของเขาสมความปรารถนาเพราะความสุขของเขา แต่เวลาเขาจะหมดอายุขัยมันไม่สมความปรารถนาแล้ว เพราะมันนึกไม่ได้ มันหมด มันหมดไปเรื่อยๆ แล้วเขาต้องตาย เวลาต้องตายนี่เศร้า

เวลาเทวดานะ เวลาเขาจะตายนะ อยู่ในธรรมบท เขาอวยพรกัน เทวดานะ ถ้าตายแล้วขอให้ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์เถิด เกิดเป็นมนุษย์แล้วขอให้พบพระพุทธศาสนา จะได้ทำบุญกุศลขึ้นมาแล้วให้กลับมาเกิดเป็นเทวดาอีก นี่เทวดาเขาอวยพรกัน คำว่า “อวยพรเทวดา” คือเทวดาเขามีกึ๋นเท่านี้ไง เขามีความคิดได้เท่านี้ เขามีความคิดได้เท่านี้

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้เราทำความสงบของใจ พอใจสงบแล้วนะ ออกรื้อค้นเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง วิปัสสนาจนชำระล้างกิเลส หมดสิ้นไปจากกิเลส มันไปเกิดที่ไหนล่ะ มันจะไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมไหม มันต่างกัน เห็นไหม มันต่างกัน เราไม่ใช่ปรารถนาไปเกิดเป็นเทวดาหรอก เราปรารถนาความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่สุขเวทนา-ทุกขเวทนา คำว่า “เวทนา” เวทนาขันธ์ ๕

วิมุตติสุข สุขเหนือโลก สุขพ้นจากเวทนา สุขพ้นจากสุขเวทนา

เรามีความสุข นี่สุขเวทนา เรากระทบสิ่งใด เรามีความสุข นี่สุขเวทนา เราสัมผัสได้ แล้ววิมุตติสุขเป็นอย่างไร สุขที่เหนือสุขอันนี้เป็นอย่างไร แล้วสุขที่สุขเหนืออันนี้ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีสัตตะ เรามีโอกาส เรามีการกระทำ

นี่แรงงานของเรา เราทำของเรานะ เราทำทางโลกเราก็ทำ เราทำทางโลก เพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งที่พิสูจน์ได้ ที่คนเห็นได้มันยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ เกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดมาเราได้ทำ

หลวงตาท่านบอกว่า คนเกิดมามีสองตา ตาหนึ่งคือตาโลก ตาหนึ่งคือตาธรรม แต่ตาธรรมเราเปิดกันไม่ได้ เรากลัวเสียศักดิ์ศรี เสียความเป็นมนุษย์ มนุษย์นี้ยิ่งใหญ่ เรามีปัญญา เราไม่ยอมฟังใคร เราไม่เชื่อใคร เราก็ได้ตาเดียว แต่อีกตาหนึ่ง ตาของใจถ้ามันเปิดขึ้นมา ถ้ามันเปิดขึ้นมามันจะค้นหาสัจจะความจริง มันมีจริงหรือเปล่า จิตมีจริงหรือเปล่า สัจธรรมมีจริงหรือเปล่า นี่ตามันจะเปิดขึ้นมา ถ้าตามันเปิดขึ้นมา

เทวดาเขาอวยพรกัน ถ้าตายแล้วให้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาให้สร้างคุณงามความดี ความดีทำให้เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม แต่เวลาเราเปิดตาของเราแล้ว เราจะมีมรรคมีผล เราจะมีสัจจะมีความจริง มีสัจจะความจริงนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม เราจะมีคุณธรรม คุณธรรมเพราะใจมันเป็นธรรม ใจมันมีสัจจะมีความจริงแล้วมันแสวงหามันค้นคว้าของมัน

จิตดวงหนึ่ง จิตดวงหนึ่งได้สำรอกได้คายออก จิตดวงนั้นจะมีวุฒิภาวะ จะมีความสามารถเป็นครูบาอาจารย์ของเรา สั่งสอนเราได้ จิตดวงนั้นได้มีการกระทำ จิตดวงนั้นได้มีการกระทำ จิตดวงนั้นได้มีการสำรอก จิตดวงนั้นได้คายอวิชชาออกไป จิตดวงนั้นถึงจะบอกเราว่าวิธีการกระทำทำอย่างใด มนุษย์คนหนึ่งทำได้ขนาดนั้น ถึงว่าการเกิดเป็นมนุษย์นี้ประเสริฐ

แรงงานของการภาวนา แรงงานของจิตสำคัญมากไง แล้วสำคัญมากมันอยู่ที่ไหนล่ะ? มันอยู่ที่เรานี่ไง อยู่ที่หัวใจนี่ไง อยู่ที่การเกิด การแก่ การเจ็บ การตายที่เราได้เกิดมานี่ไง ถ้าเราค้นคว้าความเป็นจริงขึ้นมา หัวใจเรามันผ่องแผ้วขึ้นมา มันสำรอกมันคายของมันขึ้นมาไง นี่เราจะมีคุณธรรมอย่างนั้น

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด” ถ้าเราไม่ประมาท เราเชื่อฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะค้นคว้าของเรา เราจะลืมตาในของเรา

ตานอกคือตาโลก ตาในคือตาธรรม คนมีสองตา คนมีสองสถานะ สถานะหนึ่งคือสถานะทางโลก สถานะทางร่างกายที่เราดำรงอยู่ สถานะหนึ่งคือความรู้สึก สถานะหนึ่งคือหัวใจดวงนี้ มันเวียนว่ายตายเกิด มันมีความทุกข์ยากอย่างนี้ สถานะหนึ่ง คุณธรรมอันนี้จะสำรอกคายของมัน ให้สัจจะอันนี้เป็นความจริงในใจของเราเพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้ เอวัง